แนวคิดของ ETC
ETC (Education Technology and Communication) แปลเป็นภาษาไทย คือ เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการสื่อสารเพื่อการศึกษา โดยเน้นการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อการออกแบบและส่งเสริม ระบบการเรียนการสอน เน้นที่วัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่สามารถวัดได้อย่างถูกต้องแน่นอน มีการยึดหลักผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนมากกว่ายึดเนื้อหาวิชามีการใช้ การศึกษาเชิงปฏิบัติโดยผ่านการวิเคราะห์และการใช้โสตทัศนูปกรณ์รวมถึงเทคนิค การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ
ขอบข่ายของ ETC
ในปัจจุบันได้มาจากการประยุกต์องค์ความรู้ทางด้าน ICT เพื่อการบริหารจัดการ การพัฒนา การออกแบบโมเดลต่างๆที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ดังเห็นได้จากการให้ความสนใจกับการใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ของผู้เรียน การส่งเสริมความพร้อมทางระบบคอมพิวเตอร์ การมีเครือข่ายเชื่อมโยงเข้าอินเทอร์เน็ตได้โดยสะดวก ผู้เรียนจึงมีโอกาสเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี และมีโอกาสใช้ได้เต็มที่
ETC ในการศึกษาต่างประเทศ และการศึกษาไทยในปัจจุบัน
ประเทศไทยส่วนใหญ่เรารับปรัชญาและระบบวิธีการจัดการศึกษามาจากต่างประเทศ รวมไปถึงการรับเอาเทคโนโลยีและระบบการสื่อสาร มาเป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนการสอน ทำให้ลักษณะมีความคล้ายคลึงกับต่างประเทศในส่วนหนึ่ง และสามารถแบ่งการใช้ ETC ในลักษณะ 3 ประการ คือ
1. การเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี (Learning about Technology) ได้แก่เรียนรู้ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ เรียนรู้จนสามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทำระบบข้อมูลสารสนเทศเป็น สื่อสารข้อมูลทางไกลผ่าน Email และ Internet ได้ เป็นต้น
2. การเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี (Learning by Technology) ได้แก่การเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ และฝึกความสามารถ ทักษะ บางประการโดยใช้สื่อเทคโนโลยี เช่น ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ทางโทรทัศน์ที่ส่งผ่านดาวเทียม การค้นคว้าเรื่องที่สนใจผ่าน Internet เป็นต้น
3. การเรียนรู้ไปกับเทคโนโลยี (Learning with Technology) ได้แก่การเรียนรู้ด้วยระบบการสื่อสาร 2 ทาง (interactive) กับเทคโนโลยี เช่น การฝึกทักษะภาษากับโปรแกรมที่ให้ข้อมูลย้อนกลับถึงความถูกต้อง (Feedback) การฝึกการแก้ปัญหากับสถานการณ์จำลอง (Simulation) เป็นต้น
ใน เรื่องของความต่างจะพบว่า จากลักษณะ 3 ประการข้างต้นนักการศึกษาไทยจำเป็นจะต้องมีวิจารณญาณแยกแยะจุดเด่นจุดอ่อนใน วิธีการจัดการศึกษา รู้จักนำแนวคิดมาดัดแปลงให้เข้ากับภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมการจัดการศึกษา ของไทย ทั้งในเรื่องของพื้นฐานทางสังคม ประวัติศาสตร์ความเป็นมา และวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกัน ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมตามบริบทของสังคมไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้เทคโนโลยีให้มีขีดความสามารถสูงสุด ในบางครั้งการที่เรานำความรู้มาแต่เฉพาะเปลือกนอกอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ได้ หรือทำให้การจักการศึกษาไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
จากพระราชบัญญัติการศึกษา ปี พ.ศ. 2542 จะเห็นได้ว่า กฎหมายให้
ความ สำคัญแก่การจัดการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเน้นการศึกษารายบุคคล มวลชน และผู้ด้อยโอกาสทั้งหลาย ซึ่งแน่นอนการนำเทคโนโลยีการศึกษาย่อมเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ ได้ เทคโนโลยีการศึกษาในอนาคตจะผูกติดกับพระราชบัญญัติการศึกษา และนับวันจะมีบทบาทยิ่งขึ้น ดังจะพบว่าพระราชบัญญัติการศึกษาให้ความสำคัญแก่เทคโนโลยีการศึกษา โดยกำหนดไว้ในหมวดที่ 9 ว่าด้วยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาระบุไว้ 7 มาตรา ดังนี้
มาตรา 63 รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนำและโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่จำเป็นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปอื่น เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมตามความจำเป็น
มาตรา 64 รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิต และพัฒนาแบบเรียน ตำรา หนังสือทางวิชาการ สื่อสิ่งพิมพ์อื่น วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่น โดยเร่งรัด พัฒนาขีดความสามารถในการผลิต จัดให้มีเงินสนับสนุนการผลิตและมีการให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิต และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ทั้งนี้ โดยเปิดให้มีการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม
มาตรา 65 ให้มีการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิต และผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการผลิต รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ
มาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนา การผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย
มาตรา 68 ให้มีการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาจากเงินอุดหนุนของรัฐ ค่าสัมปทาน และผลกำไร ที่ได้จากการดำเนินกิจการสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ และโทรคมนาคมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กร ประชาคม รวมทั้งให้มีการลดอัตราค่าบริการเป็นพิเศษ
ประเทศไทยส่วนใหญ่เรารับปรัชญาและระบบวิธีการจัดการศึกษามาจากต่างประเทศ รวมไปถึงการรับเอาเทคโนโลยีและระบบการสื่อสาร มาเป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนการสอน ทำให้ลักษณะมีความคล้ายคลึงกับต่างประเทศในส่วนหนึ่ง และสามารถแบ่งการใช้ ETC ในลักษณะ 3 ประการ คือ
1. การเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี (Learning about Technology) ได้แก่เรียนรู้ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ เรียนรู้จนสามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทำระบบข้อมูลสารสนเทศเป็น สื่อสารข้อมูลทางไกลผ่าน Email และ Internet ได้ เป็นต้น
2. การเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี (Learning by Technology) ได้แก่การเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ และฝึกความสามารถ ทักษะ บางประการโดยใช้สื่อเทคโนโลยี เช่น ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ทางโทรทัศน์ที่ส่งผ่านดาวเทียม การค้นคว้าเรื่องที่สนใจผ่าน Internet เป็นต้น
3. การเรียนรู้ไปกับเทคโนโลยี (Learning with Technology) ได้แก่การเรียนรู้ด้วยระบบการสื่อสาร 2 ทาง (interactive) กับเทคโนโลยี เช่น การฝึกทักษะภาษากับโปรแกรมที่ให้ข้อมูลย้อนกลับถึงความถูกต้อง (Feedback) การฝึกการแก้ปัญหากับสถานการณ์จำลอง (Simulation) เป็นต้น
ใน เรื่องของความต่างจะพบว่า จากลักษณะ 3 ประการข้างต้นนักการศึกษาไทยจำเป็นจะต้องมีวิจารณญาณแยกแยะจุดเด่นจุดอ่อนใน วิธีการจัดการศึกษา รู้จักนำแนวคิดมาดัดแปลงให้เข้ากับภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมการจัดการศึกษา ของไทย ทั้งในเรื่องของพื้นฐานทางสังคม ประวัติศาสตร์ความเป็นมา และวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกัน ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมตามบริบทของสังคมไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้เทคโนโลยีให้มีขีดความสามารถสูงสุด ในบางครั้งการที่เรานำความรู้มาแต่เฉพาะเปลือกนอกอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ได้ หรือทำให้การจักการศึกษาไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
แนวคิดเกี่ยวกับ ETC ตามกฎหมาย
จากพระราชบัญญัติการศึกษา ปี พ.ศ. 2542 จะเห็นได้ว่า กฎหมายให้
ความ สำคัญแก่การจัดการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเน้นการศึกษารายบุคคล มวลชน และผู้ด้อยโอกาสทั้งหลาย ซึ่งแน่นอนการนำเทคโนโลยีการศึกษาย่อมเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ ได้ เทคโนโลยีการศึกษาในอนาคตจะผูกติดกับพระราชบัญญัติการศึกษา และนับวันจะมีบทบาทยิ่งขึ้น ดังจะพบว่าพระราชบัญญัติการศึกษาให้ความสำคัญแก่เทคโนโลยีการศึกษา โดยกำหนดไว้ในหมวดที่ 9 ว่าด้วยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาระบุไว้ 7 มาตรา ดังนี้
มาตรา 63 รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนำและโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่จำเป็นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปอื่น เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมตามความจำเป็น
มาตรา 64 รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิต และพัฒนาแบบเรียน ตำรา หนังสือทางวิชาการ สื่อสิ่งพิมพ์อื่น วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่น โดยเร่งรัด พัฒนาขีดความสามารถในการผลิต จัดให้มีเงินสนับสนุนการผลิตและมีการให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิต และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ทั้งนี้ โดยเปิดให้มีการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม
มาตรา 65 ให้มีการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิต และผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการผลิต รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ
มาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนา การผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย
มาตรา 68 ให้มีการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาจากเงินอุดหนุนของรัฐ ค่าสัมปทาน และผลกำไร ที่ได้จากการดำเนินกิจการสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ และโทรคมนาคมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กร ประชาคม รวมทั้งให้มีการลดอัตราค่าบริการเป็นพิเศษ